BOOK,  WRITE

การเขียนสไตล์ Mimoza

My writing styles

 อยากจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วแต่คิดว่าเรายังเขียนไม่เก่งพอที่จะสอนหรือแนะนำใครได้ แต่ตอนนี้มีคนรีเควสต์มาก็เลยจะลองแนะนำตามประสบการณ์ที่เขียนนิยายมา 14 ปีนะคะ (มีผลงานก่อนออกหนังสือกับแจ่มใสอีกเรื่อง ชื่อเรื่อง วุ่นรักก๊วนนักเรียนตัวแสบ

จุดเริ่มต้น

จุดเริ่มต้นของนักเขียนทุกคนก็คือการอ่าน เป็นคนชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก พออ่านมากๆ เราก็เกิดอยากเขียนขึ้นมาบ้าง หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนก็คงไม่พ้น แฮร์รี่ พอตเตอร์… เราเป็นเด็กบ้านนอก…แบบนอกมากๆ ไม่เคยได้รู้จักพวกนิยายแปลอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ส่วนมากก็อ่านนิยายพื้นบ้าน หนังสืออ่านนอกเวลา หนังสือการ์ตูนบ้าง  แต่ที่อ่านเยอะมากที่สุดก็คือหนังสือผี ฮา…พวกเล่าประสบการณ์ผีบลาๆ จนป่านนี้ก็ยังชอบอ่าน (มากกว่าดูและฟัง)

ตอนที่เราย้ายมาอยู่ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียเนี่ยเราเบื่อมาก พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฟังไม่ออกด้วย ก็ไปเรียนภาษาก็เรียนไปงั้นๆ แหละ ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย ทีนี้ในตัวเมืองก็จะมีร้านไทยที่ให้เช่าดีวีดีละครไทย รายการที่ไทย พวกเครื่องปรุงไทยที่หายากๆ และ…หนังสือ…

เราก็ไปเช่าหนังสือจากร้านนั้น จนแบบ…อ่านเกือบหมดร้านแล้ว ก็ไม่รู้จะไปหาอ่านที่ไหนอีก แล้วพอดีมีญาติ ลูกพี่ลูกน้องมาเรียนภาษาอังกฤษช่วงปิดเทอม นางก็มาเล่นคอมที่ห้องเราและเปิดอ่านนิยายในเด็กดีทิ้งไว้ เราไม่เคยรู้เลยว่ามีนิยายให้อ่านในเว็บด้วย… ฮ่า ตอนนั้นเจ๊อ่านเรื่อง ร้ายสุดขั้ว ชั่วสุดขีด ของใบสน ก็เลยเข้าไปอ่านด้วย

เราไม่เคยรู้เลยว่า เขียนนิยายแบบนี้ได้ด้วย ใช้พวกอิโมจิ และเขียนบรรยายห้วนๆ ไม่ต้องใช้การบรรยายมาก เหมือนอ่านการ์ตูน ก็เลยติดนิยายเรื่องนั้นไปอีกคน… (ตอนนั้นยังไม่รู้จักนิยายแปลเกาหลี)

…และพอชอบมากๆ ก็อยากเขียนด้วย


หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีโอกาสกลับไปเมืองไทยช่วงพักร้อน เราก็เข้าร้านหนังสือเลย หานิยายอ่าน อยากรู้มาก อยากเขียน และได้ซื้อนิยายเรื่อง ปิ๊งรักร้ายนายตัวแสบ ของ เจ้าหญิงผู้เลอโฉม เราก็แบบ…โว้ยยย เขียนแบบนี้ก็ได้เหรอ ถ้างั้นก็คงไม่ยากหรอกมั้ง พอกลับมาที่ออสฯ ก็เริ่มเขียนและเอาลงเด็กดีเลย

https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=877575

เราก็เขียนตามประสาเราแหละ ก็พยายามบรรยายให้เห็นภาพเหมือนเวลาเราอธิบายอะไรสักอย่างให้เพื่อนฟัง บทสนทนาที่เราใช้กับเพื่อน บวกกับความเวิ่นเว้อ เพ้อฝันที่อยากจะมีแฟนหล่อๆ ของเรา ฮ่าๆๆ เรื่องแรกก็ใช้ชื่อตัวเองเป็นนางเอก และก็พวกเพื่อนๆ มาใส่ในนิยายด้วย มันจะบ้าบอๆ หน่อย แต่ก็พยายามเขียนไปเรื่อยๆ เท่าที่คิดออก ไม่มีพลอต ไม่มีอะไร เขียนเอามันส์เฉยๆ ตอนนั้นอัพไม่กี่ตอน May112 ก็เริ่มอัพนิยายเรื่องแรกก็คือ รักป่วนๆ ฉบับก๊วนเด็กหอ ตอนนั้นยังมีคนอ่านไม่เยอะเท่าไหร่และยังไม่ติดท็อปเลย เราก็เข้าไปเม้นต์เรื่อยๆ เพราะมันสนุกและตลก สุดท้ายก็แอด msn กันและก็คุยกัน จนกลายมาเป็นเพื่อนกัน ตอนนั้นนิยายของเมก็ติดท็อปไปแล้ว นิยายเราก็ติดท็อปเหมือนกันอยู่ราวๆ อันดับที่ 7 ก็พยายามดันให้อยู่ top 10 จนจบเรื่อง

สมัยนั้นสำนักพิมพ์แจ่มใสดังมากๆ เป็นที่ใฝ่ฝันของนักเขียนนิยายรัก แล้วแจ่มใสก็ติดต่อขอตีพิมพ์นิยายเรื่องรักป่วนๆ ฯ ส่วนเราก็มีสำนักพิมพ์อิสระบุ๊คส์ ติดต่อขอพิมพ์มาด้วยเช่นกัน

เราก็ตีพิมพ์กับอิสระบุ๊คส์ ในนามปากกา Pene_casalinG@

จริงๆ ก็อยากเข้าแจ่มใสเหมือนกัน แต่สมัยนั้นเค้าไม่รับแนวเรื่องแบบ วุ่นรักฯ เท่าไหร่ และเรื่องวุ่นรักฯ ก็ยาวเกินไป
ด้วยความที่เป็นเพื่อนกับเม เราก็ได้รู้จักนักเขียนแจ่มใสคนอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น แสตมป์เบอร์รี่ เจ้าปลาน้อย หนุ่มกรุงโซล ลูกชุบ…เราได้ทริคมาว่านิยายเรื่องหนึ่งไม่ควรยาวมากเกินไปเพราะจะทำให้ขายยาก ให้เขียนให้จบเรื่องประมาณ 150 หน้า พยายามอย่าให้มากกว่านั้น

เออนะ…

…เราเป็นคนขี้เวิ่นอ่ะ ชอบเขียนยาวว…ฮ่าๆ เลยแบบ เออนะ…ถ้าเขียนแบบเรื่องวุ่นรักฯ มีตัวละครเยอะๆ มันก็จะทำให้เรื่องยาวขึ้น ตอนนั้นก็กำลังเขียนเรื่อง วุ่นรักก๊วนนักปราบผีอยู่ ก็ถือว่ายาวมาก คิดว่าเรื่องนี้ไม่ผ่านแน่นอน เพราะนอกจากจะยาวแล้วมันยังเว่อร์วังอลังการ มีผี มีนักปราบผี แฟนตาซีสุดๆ ก็เลยเขียนเรื่องใหม่

เอาแบบใสๆ เลย ซึ่งเรื่องนั้นก็คือ หนุ่มซ่า สาวใส หัวใจเกินร้อย… (เปลี่ยนมาเป็น ภารกิจรักพิทักษ์หัวใจนายจอมบู๊ หลังจากผ่านพิจารณาแล้ว)

นี่….ตั้งชื่อเรื่องแบบเกาหลีเลย เอาใจแนวแจ่มใสสุดๆ (ฮาาา) ส่งต้นฉบับไปแจ่มใส รอพิจารณาประมาณหนึ่งเดือน….หนึ่งเดือนนี่คือเร็วแล้วนะ นักเขียนบางคนรอสามสี่เดือนและไม่ผ่าน ตอนนั้นแจ่มใสเข้ายากมากๆ ถ้าไม่ใช่นักเขียนติดท็อปก็แทบจะไม่มีโอกาสเลย ตอนนั้นเราก็ถือว่าโชคดีมากๆ ที่ผ่านพิจารณาและได้รับการตีพิมพ์

จากนั้นก็มีผลงานเรื่องอื่นๆ กับแจ่มใส….

อันนี้คือจุดเริ่มต้นนะคะ…

Screen Shot 2020-03-10 at 2.28.22 am.png

เราลองคิดทบทวนดูแล้วนะคะ ว่าความสำเร็จของการเขียนนิยายคืออะไร…

ความสำเร็จของการเขียนนิยาย โดยเฉพาะเรื่องแรก คือการเขียนให้จบค่ะ
เราต้องถามตัวเองก่อนนะคะว่าเราต้องการเขียนนิยายเรื่องนี้เพื่ออะไร
ส่วนมากก็อยากเขียนเพราะอยากมีหนังสือเป็นของตัวเอง ง่ายๆ เลยคือ ถ้าเราเขียนไม่จบ เราก็พิมพ์หนังสือออกมาไม่ได้
บางคนโฟกัสจำนวนคนอ่าน คนตาม คนเม้นต์ มากเกินไป พอไม่ได้จำนวนตามที่ต้องการก็จะล้มเลิกไปง่ายๆ

เวลาเราเขียนให้เราโฟกัสในส่วนของเรา เราเป็นนักเขียน เราก็ต้องเขียน เขียนให้จบค่ะ
พอเขียนจบแล้วเนี่ย ให้เราไปอ่านหนังสือเรื่องอื่น นิยายที่เราชอบ และให้วิเคราะห์หนังสือเล่มนั้นๆ ว่าทำไมเราถึงชอบ จุดสนุกมันอยู่ตรงไหน แล้วนิยายแล้วเราเนี่ย มีจุดอะไรแบบนั้นรึเปล่า

 เราต้องตามคนที่สำเร็จนะคะ เรื่องแรกๆ เนี่ยเราก็เขียนตาม ใบสน เจ้าหญิงผู้เลอโฉมและเม
เราแต่งจบไปสองเรื่องกว่าจะหาแนวของตัวเองเจอและเข้าใจว่าต้องเขียนยังไงให้น่าติดตามในแบบของตัวเอง

เพราะฉะนั้นถ้าจะเขียนนิยาย ต้องเขียนให้จบนะคะ

อยากเขียนนิยายต้องเริ่มเขียนยังไงดี?

 เราว่าคงไม่มีใครอยู่ๆ ก็คิดอยากเขียนนิยายโดยไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรหรอกใช่มั้ยคะ เริ่มแรกเลยเราก็ต้องสกัดไอ้ความคิด, รูปภาพ, เรื่องราวที่มันอยู่ในหัวของเรานี่ออกมาเป็นตัวหนังสือบนกระดาษซะก่อน  แค่จดไอเดียก่อนว่าจะเขียนอะไรแบบคร่าวๆ เหมือนเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้เพื่อนฟัง อย่างเช่น เราอยากเขียนนิยายเรื่องหนึ่งที่มีพระเอกเป็นหนุ่มฮอตอันดับสี่ของโรงเรียนและนางเอกเป็นเด็กเรียนที่โก๊ะๆ ไม่ค่อยมีเพื่อนคบ เราก็จะเขียนลงไปประมาณว่า

พระเอกเป็นหนุ่มฮอตอันดับสี่ของโรงเรียน (* ไม่ใช่อันดับหนึ่งถึงแม้จะหล่อมากกก เพราะเป็นคนไม่สุงสิงกับใครและออกแนวน่ากลัวนิดๆ เลยได้อันดับสี่แทน)
นางเอกเป็นเด็กเรียนโก๊ะๆ ไม่มีเพื่อนเท่าไหร่เพราะเพื่อนในห้องหมั่นไส้ที่เรียนเก่งเวอร์ นางเอกเก็บแหวนของพระเอกได้แล้วเอามาใส่โดยไม่รู้ว่าเป็นสิ่งของสำคัญของพระเอกและพอใส่ไปแล้วก็ดันถอดออกไม่ได้ พระเอกเลยต้องตามนางเอกเพื่อจะเอาแหวนคืน ….
….สิ่งที่ต้องเขียนคือสร้างเหตุการณ์ให้ทั้งสองได้กุ๊กกิ๊กๆ กันหน่อย  <<< ตรงนี้เราก็ไปคิดต่อว่าจะสร้างเกตุการณ์อะไรให้ทั้งสองคนได้สานความสัมพันธ์กัน

ประมาณนี้แหละ

อันนี้เป็นตัวอย่างของการจดไอเดียนะคะ



IMG_6713.JPG

หลังจากได้ไอเดียคร่าวๆ แล้วเราก็เริ่มวางแผนเขียนนิยายกัน

ลำดับต่อไปที่ต้องคิดสำหรับเราก็คือความยาวของนิยายเรื่องนี้ ถ้าเราเขียนเอามันส์ สนองนี้ดตัวเองจะยาวเท่าไหร่ก็ได้ตามสบายเลย แต่ถ้าอยากให้นิยายตีพิมพ์เป็นหนังสือเราต้องคำนึงถึงความยาวและราคาหนังสือ เราเป็นนักเขียนนิยายรักวัยรุ่น กลุ่มลูกค้าของเราคือวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมีกำลังในการซื้อ หนังสือของเราก็ไม่ควรหนาและแพงจนเกินไป ไม่อย่างนั้นก็ขายได้น้อยหรือขายไม่ได้เลย ส่วนตัวแล้วเราจะกำหนดความยาวของนิยายเราประมาณ 150 หน้า A4 ราคานิยายก็จะตกประมาณ 169 บาท ก็จะกะไว้ประมาณนี้ค่ะ

เอาล่ะ ทีนี้เราก็มีพื้นที่ประมาณ 150 หน้าที่จะดำเนินเรื่องให้พระเอกกับนางเอกมีเหตุการณ์ได้ใกล้ชิดกันและรักกันในที่สุด ตรงนี้เราก็ต้องเค้นหาฉากและเหตุการณ์ที่จะทำให้ทั้งสองคนสมหวังในความรัก เราก็มาเริ่มวางโครงสร้างนิยายของเรา


องค์ประกอบของนิยายก็จะมี

พลอต
ตัวละคร
บทสนทนา
ฉากเวลาและสถานที่
Point of view

พลอต
โครงสร้างของพลอตก็จะมีสามอย่างหลักๆ เหมือนการเขียนเรียงความที่มี คำนำ เนื้อเรื่อง สรุป

ขอบคุณรูปจากเด็กดี

ขอบคุณรูปจากเด็กดี

ส่วนแรก
   
– คือการแนะนำตัวละคร ชีวิตประจำวันของตัวละคร แนะนำสถานที่ แนะนำสิ่งแวดล้อมรอบๆ
– มีเหตุการณ์ที่ทำให้การใช้ชีวิตของตัวละครไม่เหมือนเดิม
– มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวละครตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวละครนั้นๆ เคยทำหรือจะตัดสินใจทำ (ตรงนี้ก็หาเหตุผลมาเสริม บลาๆ)
– การตัดสินใจนั้นทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นวาย มีเรื่อง บลาๆ

ส่วนแรกนี้เราจะเขียนประมาณ 40 หน้า แบ่งเป็นประมาณ 3-4 บท บทละ 10-15 หน้า แล้วในแต่ละบทก็จะมีโครงสร้างภายในของบทนั้นๆ อีก ก็แบ่งเป็นสามอย่างเหมือนพลอตคือ คำนำ เนื้อเรื่อง และการส่งเรื่องไปบทต่อไป การจบบทต้องทำให้ลุ้นและน่าติดตาม


อันนี้ก็เป็นตัวอย่างพลอตส่วนแรกของเรา
 บทที่หนึ่ง > แนะนำนางเอก แนะนำโรงเรียนของนางเอก แนะนำอันดับหนุ่มฮอตของโรงเรียน
              > นางเอกไม่มีเพื่อน ไม่ค่อยพูดกับใคร
              > ตอนกลางวันนางเอกกินข้าวคนเดียวเพราะไม่มีเพื่อนและโดนรุ่นพี่รังแก … ตรงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมของนางเอก เพราะปกตินางเอกต้องกินคนเดียว
             > พระเอกไปช่วยแก้แค้นรุ่นพี่ให้นางเอก

บทที่สอง > เพราะพระเอกไปแก้แค้นรุ่นพี่ให้นางเอกเลยทำให้ทุกคนเริ่มสนใจนางเอก ….ชีวิตไม่เหมือนเดิม เพราะปกติจะอยู่คนเดียว ไม่มีใครวุ่นวาย แต่ตอนนี้เริ่มมีคนมาวุ่นวายแล้ว แฟนคลับพระเอกเริ่มไม่พอใจ
             >  นางเอกไปช่วยน้องสาวพระเอกที่กำลังโดนรังแก (เพราะแค่พระเอกแก้แค้นให้นางเอกมันยังไม่พอที่จะทำให้ทั้งสองคนใกล้ชิดกันเราก็จะเสริมเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งสองต้องได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น)
            > นางเอกดันไปเก็บแหวนของพระเอกมาใส่ และแหวนนี่ก็สำคัญกับพระเอกมากๆ
            > น้องพระเอกเห็นแหวนอยู่กับนางเอกก็เลยคิดว่านางเอกเป็นแฟนพระเอก
                (เหมือนเราบังคับให้สองคนนี้ต้องข้องเกี่ยวกันตลอด 55)

บทที่สาม > ก็สร้างเหตุการณ์ที่ทำให้เจอกันบ่อยๆ และทำให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าอาจจะเป็นแฟนกันจริง
             > แฟนคลับพระเอกแกล้งนางเอก
             > พระเอกก็คอยช่วยเหลือนางเอกตลอด
             > นางเอกก็เริ่มหวั่นไหว

พยายามเอ้าท์ไลน์ออกมาเป็นจุดๆ นะคะ เราสามารถเปลี่ยนลำดับเหตุการณ์ได้ตอนทรีทเม้นต์พลอตอีกที ตอนนี้ก็พยายามสร้างสถานการณ์ขึ้นมาและหาเหตุผลของการกระทำของตัวละครเสริม ช่วงแรกๆ นี่ตัวละครเราจะหลุดออกจากวงจรชีวิตเดิมและมีชีวิตที่วุ่นวาย
   


ส่วนที่สอง

 ช่วงนี้จะเป็น reaction ของตัวละครนะคะ หลังจากที่เจอเรื่องวุ่นวายแล้วเค้าพยายามจะจัดการกับชีวิตของเค้ายังไง พยายามให้เค้าหาทางออกแต่เราจะไม่ยอมให้เค้าได้รับสิ่งที่เค้าต้องการ อย่างเช่น นางเอกดูเหมือนจะเริ่มหวั่นไหวกับพระเอกแล้ว ก็จะพยายามไม่เข้าใกล้พระเอกอีกถึงแม้ทุกคนจะเข้าใจว่าเป็นแฟนกันเพราะนางเอกมีแหวนของพระเอก ช่วงนี้เราก็ต้องทำให้นางเอกยิ่งหวั่นไหวขึ้นไปอีก (เพราะนางเอกต้องไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ)

 >โดยการเสริมเหตุการณ์จูบ (จากอุบัติเหตุ)
 > ได้เล่นละครเวทีด้วยกัน
 > พระเอกก็ทำเหมือนจะชอบๆ นางเอกเหมือนกัน
 > นางเอกก็ยิ่งหวั่นไหว
> ได้รู้จักพระเอกมากขึ้น ทั้งเพื่อน ครอบครัว บลาๆ ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกับพระเอกอีก
> ในที่สุดก็ชอบพระเอกเข้าจริงๆ

อันนี้ก็เป็นจุดใหญ่ๆ ในส่วนที่สอง เราก็แบ่งเขียนเป็นบทๆ ในแต่ละบทก็มีเหตุการณ์ยิบย่อยเกิดขึ้นเพื่อส่งให้ตัวละครต้องทำแบบนี้และรู้สึกแบบนี้ ส่วนนี้เราจะเขียนประมาณ 6-8 บท หรือประมาณ 60-80 หน้า แล้วแต่เหตุการณ์ในแต่ละบทด้วยค่ะ อาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่านี้ก็ได้


ส่วนที่สาม

 ส่วนนี้ก็เริ่มเข้าไคลแมกซ์ของเรื่องแล้ว ในส่วนนี้ก็เป็น reaction ของเหตุการณ์จากส่วนที่สอง คือนางเอกของเราชอบพระเอกเข้าแล้ว แล้วทีนี้นางเอกก็ต้องตัดสินใจว่าจะบอกพระเอกดีรึเปล่า จะบอกยังไง แล้วพระเอกจะชอบด้วยรึเปล่า บลาๆ คือหาผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในความคิดของตัวละคร แล้วเราก็ใส่เหตุการณ์ที่ตัวละครไม่คาดคิดเข้าไปให้เป็นไคลแมกซ์ของเรื่อง ก็คือตรงนี้จะเปลี่ยนทุกอย่างที่ดำเนินเรื่องมาเลย
 > นางเอกชอบพระเอกและก็เนียนๆ ใกล้ชิดพระเอกไป รู้สึกดีกับพระเอกมากๆๆๆ
> รุ่นพี่ก็เคยแกล้งนางเอกตอนต้นเรื่องกลับมาแกล้งนางเอกอีก
> พระเอกก็จัดการรุ่นพี่เหมือนเดิม แต่คราวนี้รุนแรงกว่ามาก นางเอกคิดว่าพระเอกเป็นคนน่ารัก อบอุ่นมาตลอด พอเห้นพระเอกทำร้ายคนอื่นอย่างโหดเหี้ยมก็เหมือนรับไม่ได้ (ไคลแมกซ์ -ตรงนี้จะเป้นอะไรก็ได้นะคะ เป็นจุดเปลี่ยนเรื่องราวที่ผ่านมา )
> แถมไปเจอพระเอกสูบบุหรี่อีก (เข้าใจผิด )
> รู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง อยากรักแต่คิดว่าไม่ควรรัก บลาๆ
> ตีตัวออกห่าง (reaction ของนางเอกหลังจากไคลแมกซ์)

หลังจากไคล์แมกซ์ก็จะเป็นเหตุการณ์ falling action นะคะ ในที่นี้ก็คือนางเอกตีตัวออกห่างจากพระเอก เราก็จะมาหา resolution ให้กับทั้งสองคน
> พระเอกพยายามตามอธิบายหรือเคลียร์
> แรกๆ นางเอกอาจจะไม่ฟังและบ่ายเบี่ยง
> ใส่เหตุการณ์ที่ทำให้นางเอกต้องฟังและเชื่อใจพระเอก
>เคลียร์ปัญหาในใจ
แล้วก็จบเรื่องได้เลย แฮปปี้เอนดิ้ง

แต่ถ้าจะเขียนดราม่า มีปมหลายอย่าง เราก็ใช้ส่วนที่สองและส่วนที่สามซ้ำๆ กันก็ได้นะคะ แบบว่ามีเรื่องเข้ามาเรื่อยๆ และตัวละครต้องหาผลลัพธ์ให้กับปัญหานั้นเรื่อยๆ อาจจะมีไคล์แมกซ์เล็กๆ สองสามครั้งก่อนจะไปเจอไคลแมกซ์หลักก็ได้ค่ะ แต่สามส่วนนี้ก็เป็นโครงสร้างหลักๆ ของพลอต ที่โมใช้ ถึงแม้ว่าบางทีเราจะออกนอกทะเลหลงรายละเอียดยิบย่อยที่เราเคยเขียนและคิดเอาไว้ แต่หลักๆ ก็ตามนี้ค่ะ

อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของสมุดจดพลอตของโมนะคะ

IMG_6709.JPG
IMG_6710.JPG
IMG_6717.JPG
IMG_6719.JPG

โพสต์หน้าเราจะมาต่อเรื่องตัวละครและองค์ประกอบอื่นๆ ในนิยายกันนะคะ



:: TO BE CONTINUED :::

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *